ตอน(1) ของ180 ตอน

Google
 

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย

ทฤษฏี Dcc


ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ..... ความจริงที่ทุกคนมักมองข้ามเรื่องจริงกันหมดทั้งนี้ก็เพราะความไม่กล้ายอมรับควมจริงที่เกิดขึ้นจริงหรือถูกปกปิดนั้นเอง สาเหตุเพราะความกล้าหาญมีไม่เพียงพอ ส่วนเรื่องของความฉลาดน้อยหรือไม่รู้ (อวิชชา)หรือรู้ไม่ทันเกมของคนส่วนใหญ่ในสังคมโลกที่ไม่มีใครกล้าเผชิญหรือได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะชน

-1)แปลกแต่จริงมนุษย์เราส่วนใหญ่โดยเดิมทีเดียวมักจะโง่หรือไม่รู้มาก่อนแทบทั้งสิ้นแต่ส่วนใหญ่มักจะโง่กันมาก ( อวิชชา) หรือโง่น้อยล้วนแล้วแต่ว่าใครจะอยู่ในสังคมแบบไหนโดยเฉพาะเรื่องของการแยกแยะ (หรือการจัดหมวดหมู่ของการวิเคราะห์นั้นเอง) ซึ่งผมจะกล่าวถึงดังต่อไปนิ้ ใครก็แล้วแต่ที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่พูดถึงบริบทคำนี้ที่ทุกคนมองข้ามไปซึ่งมันมีความสำคัญมากต่อการดำรงชีพของคนเรา

และเท่าที่ทราบยังไม่มีใครพูดถึงและนำมาสอนหรือถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับทราบกันและเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ของเราอย่างเป็นรูปธรรม การแยกแยะนั้นมันแยกได้หลายแบบ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจถึงความหมายของมันและไม่สามารถนำไปใช้หรือนำไปประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง โดยการพัฒนาประสิทธิ์ภาพของคนเหล่านั้น ดังนั้นคุณภาพชีวิตก็จะถูกกำหนดโดยการแยกแยะนี้เอง โดยส่วนใหญ่ดนเรานั้นมักมีปัญหาและสาเหตุของปัญหาส่วนหนึ่งมาจากระบบการแยกแยะบกพร่องหรือรู้แต่ก็ไม่สนใจหรือไม่มีความรู้เลยในเรื่องของการพัฒนาระบบการแยกแยะ บางคนก็แยกแยะเป็นและบางคนก็แยกแยะไม่เป็นทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของคนๆนั้นและนี้คือ D ตัวแรก การขาดความสมัคคีและสงครามทั้งหลายในอดีตก็มาจาก การแยกแยะไม่เป็นมวย หูเบา ไร้ปัญญา จึงตกเป็นเหยื่อกันง่าย

การจำกัดของคำว่าแยกแยะจริงๆแล้วมันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับการใช้ของคนๆนั้นว่าสามารถเข้าใจได้ดีกว่ากันแค่ไหนหรือเปรียบเทียบกันไม่เป็น ความโง่ขอบอกก่อนจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเงิน เพราะฉะนั้นจะตัดประเด็นเรื่องเงินออกไป ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดบุคคลนั้นจะดำรงตำแหน่งใดก็ตามมีสิทธ์โง่ได้ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น การสูบบุหรี่ รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีหรือสูบแล้วจะเป็นมะเร็ง มีให้เห็นตั้งแต่รัฐมนตรียันไปถึงพระคุณเจ้าบางรูปฯลฯ ก็ยังมีคนโง่สูบมัน O.k. จะอ้างอย่างไรก็ได้ เช่น เท่ห์ เข้าสังคมได้ ฯลฯ ถ้าจะเปรียบเทียบของคนส่วนใหญ่มักจะเจริญรอยตามคนโง่ อาจจะเพียงแค่มองว่าคนโง่คนนั้น มันมีเงินมีอำนาจหรือเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในสังคมเช่นดารา นักร้องหรือแม้แต่พระดังๆขนาดตัวพระเองยังโง่เลยแล้วจะไปสอนคนทั่วไปได้อย่างไร? ซึ่งคนเหล่านี้แยกแยะไม่เป็นและไม่เป็นตัวของตัวเองคอยโง่ตามกันและสืบกันเป็นวัฒนธรรมและประเพณีที่สืบต่อๆกันมามันจึงเป็นปํญาหาและมีแต่เรื่องกันอยู่เรื่อยๆ ยิ่งคนโง่มีเงินมีอำนาจขึ้นครองแล้ว ประเทศนั้นหรือครอบครัวนั้นหรือคนยุคนั้นก็จะลำบาก (มันเป็นสัจธรรมซึ่งมีให้เห็นมากมายในอดีตตามประวัติศาสตร์ )

มันเพียงเพราะเขามีจังหวะและโอกาสที่ดีกว่าเข้ามาในชีวิตก็แค่นั้นอง ซึ่งไม่แปลกใครๆก็มีโอกาสนี้ได้เหมือนกันหมดทุกคนอยู่ที่ว่าใครสามารถเข้ามาช่วงชิงก่อนหรือสร้างฐานเม็ดเงินก่อนเท่านั้นเองและแต้มต่อที่ต่างกันหรือความพร้อมคนนั้นๆว่าพร้อมมากแค่ไหนก็แค่นั้นเองจริงๆไม่มีอะไรเลยที่แสดงถึงการใช้ความสามารถเป็นพิเศษหรือบ่งบอกถึงมีความสามารถพิเศษในเรื่องนั้นๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ว่าคุณหรือใครๆก็ทำได้ ทุกคนมีสิทธิจะรวยได้หรือรู้จักหาวิธีหรือหาจังหวะที่ดีของชีวิตแต่ก็มีน้อยคนที่รู้ทันมัน ปล่อยให้โอกาสดีๆผ่านไปอย่างน่าเสียดายแล้วก็มาโทษชะตา บุญน้อย ฯลฯ สารพัด การไปทำบุญของชาวพุทธหรือไม่พุทธส่วนใหญ่สิ่งที่ได้ก็คือ ความสบายใจเท่านั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย (จริงๆ) ความสบายใจก็คือกุศล

แต่ก็ไม่มีอะไรเสียยกเว้นแต่เสียเวลา และหลงประเด็นคิดว่าทำถูกต้องแล้วและหวังว่าน่าจะเป็นอย่างนี้และอย่างโน้น(น่าจะนะ บอกได้เลยทุกอย่างที่หวังนั้นสิ่งที่แน่นอนนั้นคือไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย จริงๆ( อนิจจัง)บางทีสิ่งที่ทำลงไปอาจจะสูญเปล่าหรืออาจจะแย่ไปกว่าที่คิดไว้ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น) ล้วนแล้วแต่คิดกันไปเองทั้งนั้นไม่มีสูตรและทฤษฏีที่ตายตัวมีอยู่อย่างเดียวก็คือ”มั่วนิ่ม” ส่วนเรื่องบุญกุศลที่พี่ไทยเราพูดกันจัง (คงจะมีประเทศไทยที่พูดกันมากแค่ประเทศเดียวมั้ง แล้วก็นำมาเป็นจุดขาย แต่ก็ไม่เห็นว่าสังคมมันจะดีกว่าประเทศอื่น เรื่องบุญกุศลมันมีจริงอยู่แล้วแต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าไม่ค่อยมีใครปฏิบัติจริงและปฏิบัติได้)

ในโลกทุกวันนี้คนส่วนใหญ่กำลังหลงประเด็นหรือหลงทางกันอยู่อีกมากใช้ชีวิตผิดๆ เข้าใจผิดๆ ทั้งนี้เพราะไม่เคยยอมรับความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเองและหลายต่อหลายคนไม่ยอมเรียนรู้หรือไม่อยากรู้หรือขี้เกลียดรู้นั้นเองอะไรที่ว่ามาข้าก็ว่าตามกัน ยิ่งคนส่วนใหญ่ที่โง่และเชื่อว่าสิ่งนั้นที่บรรพบุรุษทำกันมานั้นถูกต้องแล้ว มันก็ยากที่จะลบล้างความเชื่อได้ โดยคนหมู่น้อยไม่กล้าที่จะไปโต้แย้งบอกกล่าวถึงเหตุผลและเท่าที่ดูก็ยังไม่มีใครที่มีความกล้าพอที่จะมาสร้างมุมมองใหม่หรือทางเลือกใหม่ หรือแนวคิดใหม่ๆออกมาเพื่อเป็นทางออกสำหรับคนบางคนที่มีแนวคิดสร้างสรรคิดนอกกรอบเป็นหรือกล้าพอที่จะคิดหักมุมและสร้างมุมมองให้มากกว่า2-3มิติหรือมีความคิดสร้างสรรสิ่งที่ดีงามแต่แปลกใหม่และเป็นคนชอบท้าทายความคิดตัวเองอยู่เสมอๆ


การเกิดมาของคนเรานั้น จะต้องเรียนรู้และเปรียบเทียบและวิเคราะห์และประเมินสิ่งที่เรียนรู้มา การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าหยุดการเรียนรู้ก็คือชีวิตเริ่มจะนับถอยหลังรอวันที่จะตายจากไป การเรียนรู้จะต้องรู้จักแยกแยะเป็น ฉลาดแยกแยะ และเข้าใจแยกแยะ ถ้าแยกแยะไม่เป็น การเรียนรู้นั้นเหมือนกับการทำอาหารไม่สุกหรือไม่อร่อยนั้นเอง ยิ่งวิเคราะห์เก่ง ประเมินได้เยี่ยม เปอร์เซ็นต์ถูกมีมาก อาหารจานนั้นก็จะอร่อยมาก บางครั้งการเรียนรู้นั้น บางทีก็เรียนหรือรู้มาผิดๆ วิธีแก้ก็คือ (1)D รู้จักคัดแยก (แยกแยะ) (2) c รู้จักชั่งน้ำหนัก (ตรวจสอบ) (3) c รู้จักเปรียบเทียบและวิเคราะห์ (หาบทสรุป) ถ้ารู้จัก 3 ข้อดีอย่างลึกซึ้งแล้วปัญญาเกิดขึ้นทันที นี่เป็นที่มาขุมทรัพย์ของปัญญา ซึ่งไม่ต้องหาที่ไหนในโลกนี้เดียวมันก็มาเอง เพราะคุณมี filter 3ชั้นกรองอยู่ ถ้าได้ลองผ่านมาได้แล้ว บอกได้เลยมันไม่ธรรมดาแน่นอน ผลลัพธ์ออกมาก็คือ คุณก็จะฉลาดขึ้นและหายโง่ในท้ายที่สุด.


แนวคิดที่ไม่ต่อต้าน( เคารพสิทธิ์ผู้อื่นแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อไปเสียทุกเรื่อง) ทฤษฎีที่หลากหลาย การสมมุติฐานที่กำหนดเองได้ เพียงแต่ขาดการพัฒนาเชิงระบบของความคิดที่ถูกต้องของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและการยอมรับของสังคมนั้นๆ การตีโจทย์ไม่แตกของปริศนาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นท่ามกลางการยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้สอดคล้องกับเหตุการณืนั้นที่เกิดขึ้น รู้จักคิดต่างมุม ไม่ยึดติดกับอะไร ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ รู้จักตั้งข้อสังเกตุและตั้งข้อสงสัยและหาคำตอบของคำถาม สร้างมุมมองใหม่ รู้จักมองต่างมุมที่มากกว่า2หรือ3มุม

ไม่มีความคิดเห็น:

atom

ตอน(2)

-2) ทฤษฏีของพระพุทธเจ้านั้นไม่ผิดและถูกต้องเสมอ ทำไมประชาชนชาวพุทธหรือชาวโลกไม่ค่อยมีคนแห่มาปฏิบัติตามอย่างจริงจังและชาวโลกทำไมไม่เจริญรอยตามอย่างจริงๆจังๆเป็นเพราะอะไร (มันก็น่าคิดอยู่เหมือนกันหรือว่าทฤษฏีได้แต่ปฏิบบัติ ไม่ work และท้ายสุดเราได้อะไรจากคำสอนและผลที่ได้มันคืออะไร ไม่ต้องอะไรมากแค่ศิล5 ที่ว่าเป็น basic ขั้นพื้นฐาน ยังไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญสักเท่าไรเลย สักแต่พูดว่าเป็นชาวพุทธ ขอถามหน่อยหรือกล้าท้าได้เลยส่วนใหญ่แล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดเดียวมันเป็นเพราะอะไรกันแน่? ตอบ เพราะตัวกิเลสชนิด(หลง) ที่เข้ามาครอบงำปัญญานั้นเองทำให้พุทธแท้เป็นพุทธเทียม จากพุทธเทียมกลายเป็นพุทธเสื่อม

ถึงแม้จะรู้ ไม่ว่ารู้มากหรือรู้น้อยก็ตามแต่ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญเท่าไร และไม่ปฏิบัติด้วยซ้ำมันก็เป็นอะไรที่ชี้วัดได้ระดับหนึ่งเหมือนกันว่าทฤษฏีนี้จริงๆแล้วมันได้อะไรกับเราบ้าง หรือมันเหมาะกับการสอนเด็กเท่านั้น เหรอพอโตขึ้นกับที่จะต้องอยู่บนโลกของความจริงที่โหดร้ายว่ามันไม่เป็นตามที่เราเคยเรียนมา และนั้นเป็นบทพิสูจน์ความจริงที่ต้องเจอและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับมันและจะต้องอยู่กับมันใหัได้ ตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยของมัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี แต่ท้ายสุดมันจะเกิดและดับตามกฏไตรลักษณ์

-3)คนสมัยก่อนส่วนใหญ่มักจะโง่และตั้งกฏกติกา และธรรมเนียมแบบผิดๆ ทำให้คนรุ่นใหม่สงสัยมากเลย ก่อเกิดคำถามและหาคำตอบ แต่บางครั้งก็หาคำตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆมีสิ่งที่งมงายให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ และไม่ที่มีสิ้นสุดและมักมีคนโง่รุ่นใหม่ๆเจริญรอยตาม ไม่ว่าจะทรงเจ้า คาถาอาคม นับถือสิ่งศักสิทธิ์ ของคลัง อุปกรณ์ต่างๆของพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่น หริออะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ ล้วนแล้วก็อุโลคขึ้นมาเองทั้งนั้น เพื่อให้ขัง ท้ายสุดก็ไม่พ้นเรื่องของธุรกิจที่เข้ามาเกี่ยวข้อง งมงายและเป็นมิจฉาทิฏฐิ ลองสังเกตุดูบางศาสนา ไม่เห็นต้องมีสิ่งเหล่านี้เลย เช่นศาสนามุสสลิม หรือชาวคริสต์ (จะพูดในมุมดีก่อน) ไม่ต้องฟุ้มเฟือยเช่น

ศาสนามุสสลิมเวลาคนตายไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าหรือจะเป็นกษัตย์หรือจะเป็นยาจกทุกคนเสมอภาพหมดไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างกันมากพิธีกรรมนั้นเรียบง่ายไม่ต้องฟุ้มเฟือยเหมือนชาวจีนพิธีกรรมวุ่นวายสิ้นเปลืองเรื่องเยอะ(ฮวงจุ้ย)ค่าใช้จ่ายสูงถึงสูงมาก (เอาแบงค์จริงแลกแบงค์เก้แล้วเอาไปเผาเล่นๆให้ในสิ่งที่มองไม่เห็น มันเป็นแค่กุสโลบายที่แสดงออกถึงความกตัญญูเท่านั้น)

alien

ตอน(3)


-4)อนาคตข้างหน้าสำหรับคนยุคใหม่ (รุ่นลูก รุ่นหลาน และรุ่นโหลน ) จะให้ความสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆทั้งนี้เพราะการแกร่งแย้งและเห็นแก่ตัวที่มีมากขึ้นเรื่อยๆเงินจะเป็นใหญ่ศีลธรรมจะทดถอย ศาสนาเริ่มเป็นที่เสื่อมทั้งนี้เพราะ กฏของธุรกิจและประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด

(ปัญหาก็จะตามมาแน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความไม่สมดุลของประชากรโลกที่คนตายน้อยกว่าคนเป็น หรือการที่หันมาควบคุมประชากรโลกจะดีว่าไหมแทนที่จะไปควบคุมสิ่งแวดล้อมกันเพราะทุกวันนี้คนเราหันมาสนใจและดูแลสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเข้าไปควบคุมเพื่อที่จะเอาชนะสิ่งแวดล้อม แต่หารู้ไม่มนุษย์เรานี้เองที่ไปทำลายสิ่งแวดล้อมโลกโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ตาม อยากให้เห็นภาพในอนาคตอีกไม่ถึง 10 ปีที่ประชากรโลกจะขยายตัวแบบก้าวกระโดดชนิดที่โรคเอดส์ยังตามไม่ทัน นอกเสียจากการเกิดสงครามโลกชนิดเฉียบพันที่เกิดจากการก่อการร้ายข้ามชาติขอถามหน่อยประชากรโลกตอนนี้มี

6,500 พันล้านคนถ้าอนาคตไม่ถึง 15 ปีประชากรโลกจะขยายไปถึงเกือบ 10,000 ล้านคน การที่จะเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงประชากรโลกเริ่มมีปัญาหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ความแกร่งแย้งก็บังเกิดขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็เริ่มทวีความรุนแรงนี้คือที่มาของสาเหตุที่ว่าศาสนาเริ่มเสื่อม ประชาชนส่วนใหญ่จะอยู่แบบตัวใครตัวมัน ถ้าทรัพยากรโลกยังไม่มีปัญหาทุกๆอย่างก็จะคลีคลายได้ แต่เมื่อไรที่ทรัพยากรโลกขาดแคลนเมื่อนั้นมาถึงหรือเศรษฐกิจที่แข่งขันกันจนหาทางออกไม่ได้ หรือเป็นอะไรที่ตกลงกันไม่ได้เพราะผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวทั้งหมดทั้งมวลมันเชื่อมโยงกันและมันเกี่ยวข้องกับเศษฐกิจล้วนๆที่จะปฏิเสธมันไม่ได้ สงครามก็จะประทุขึ้น) นี้คือกฏธรรมชาติ และทางออกมีหรือเปล่า ก็ได้แต่หวังว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาท อย่างมากในการแก้ไขปัญหาได้

-4)การสวดมนต์เราได้อะไรจากมันนอกจากทำให้จิตรใจสงบหรือไม่สงบบ้างในช่วงสั้นๆแค่นั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วคนส่วนใหญ่รู้ความหมายของมันหรือไม่(น้อยมากๆที่จะเข้าใจความของมันเหตุผลเพราะอะไร คำตอบก็คือมันไม่มีอไรที่เป็นที่น่าสนใจหรือรู้แล้วก็เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ไม่มาก ยิ่งเป็นพวกวัยรุ่นแล้วยิ่งไม่ work ลองไปพิจราณาคูว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมจึงไม่มีใครนำมาประยุกค์สร้างใหม่หรือดัดแปลงจากที่ยากให้เข้าใจได้ง่ายๆฟังแล้วเข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติได้จริงและชิ้วัดเห็นผลได้ทุกคนชอบใจสามารถเข้าไปนั่งในใจเขาได้ รับรอง work แน่นอน คัดเฉพราะเอาแต่สิ่งที่จำเป็นและเป็นสาระสำคัญๆเท่านั้นก็พอ)

และทำไมไม่ค่อยมีใครสนใจเข้าฟังธรรมหรือฟังเทศน์ คำตอบก็คือ เรียนแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องหรือไม่เข้าใจหรือเข้าใจแล้วแล้วยังไงต่อ บางครั้งฟังแล้วก็เฉยๆรู้บางไม่รู้บ้างพอฟังเสร็จก็ยกมือไห้วแล้วก็กลับบ้านพอพรุ่งนี้เช้าลองไปถามซิรับรองเลยว่าลืมหมดแล้วท้ายสุดก็ไม่ได้อะไรกับมาใช้ได้กับชีวิตประจำวันได้เลย (บางคนรู้แต่ก็ไม่ทำก็มี) แล้วคนส่วนใหญ่เข้าใจรู้ลึกซึ้งของศาสนามากน้อยแค่ไหนและอะไรคือหัวใจของมัน แต่แล้วคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจก็แล้วแต่ก็ยังทำอะไรผิดๆเยอะแยะไปหมด เชื่อแบบไม่มีเหตุผล ไม่ค่อยมี filter และไม่ฉลาด ตามหลักธรรมชาติถ้าจะเอาเข้าจริงๆมันจะต้องประกอบไปด้วยคือ

1) จะต้องเรียบง่ายและเข้าใจง่ายไม่มีอะไรซับซ้อนและไม่ต้องลึกซึ้งมากเพราะลึกซึ้งมากประชาชนส่วนใหญ่ที่โง่มักไม่เข้าใจ 2) ปฏิบัติทุกอย่างต้องรู้จัก balance หรือไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป 3) ทำอย่างไรที่สื่อแล้วเข้าใจง่ายและเร็วไม่ใช้ศัพย์ยากไม่ต้องแปลไทยป็นไทย แล้วบรรลุผลได้จริงชิ้วัดผลได้จริงๆ ทุกคนพร้อมใจกันที่จะนำไปปฏิบัติต่อและขยายผลต่อๆไป บางเรื่องถ้าเป็นเรื่องจริงแต่สาระน้อย พูดง่ายๆเอาแต่เนื่อๆน้ำไม่เอา ก็อย่านำมาสอน บางเรื่องเป็นเรื่องจริงก็จะต้องเน้น (focus)ให้ดีและสอนให้เป็น สอนให้เป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้มีคำถามเกิดขึ้นแล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้และเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มันแปลเปลี่ยนไปนานแล้วและไม่ยอมประยุกต์หรือดัดแปลงมัวแต่ copy มาทื่อๆโดยไม่ดูเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นจริงๆ

บางเรื่องมันใช้ไม่ได้แล้วกับยุคสมัยนี้ก็ไม่ยอมโล้ะทิ้งแสดงว่าไม่มีหัวพัฒนาของการเรียนการสอนเลยเขาว่าอย่างงัยก็ว่าอย่างนั้นไม่ใช้ปัญญาเลยที่มีอยู่มาช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่ามาอ้างนะว่านี้เป็นเรื่องของทางโลก ถ้ามีปัญญาจริงๆแล้วสอนได้บอกได้แนะได้โดยไม่ต้องออกตัวก็ได้ ถ้ารู้วิธีการแล้ว นอกเสียจากจะไม่มีปัญญาจริงๆ เพราะหน้าที่ของพระสงฆ์คือการนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ ทุกอย่างบนโลกนี้มันจะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้มันต้องขึ้นอยู่กับสถาการณ์นั้นๆเป็นหลักเพราะฉะนั้นมักไม่ค่อยมีกฏตายตัวเสมอไปทุกอย่างถึงเวลาของมันก็จะแปรเปลี่ยนไปตลอดตามกฏธรรมชาติ อะไรจริงอะไรปลอมก็ไม่ยอมเฉลยมัวแต่มั่วกันไปหมด

Amazing huge cloaked UFO next to Mercury MUST SEE!!!

..ประวัติหลวงปู่พุทธอิสระ